100ปีซีพี เติบโตบนฐานแห่งการสะสมภูมิปัญญาจากคุณภาพ คุณธรรม สู่ 6ค่านิยม

กำเนิดเจียไต๋ลงรากคุณภาพ คุณธรรม ความซื่อสัตย์
หากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 100ปีที่ผ่านมาธุรกิจของเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่เติบโตมาถึงวันนี้ ล้วนมาจากจุดเริ่มต้นของ2พี่น้องผู้ให้กำเนิดคือท่านเจี่ยเอ็กชอผู้พี่และเจี่ยเซียวฮุยผู้น้องที่เกิดและเติบโตจากแผ่นดินจีนที่กว้างใหญ่ โดยเริ่มจากท่านเจี่ย เอ็กชอ บรรพบุรุษต้นตระกูลเจียรวนนท์ เดินทางมาประเทศไทย ได้เห็นช่องทางการค้าขายในประเทศไทยและด้วยพระบารมีของพระเจ้าแผ่นดินไทยที่ให้โอกาสกับชาวจีนโพ้นทะเลที่อพยพมาอยู่เมืองไทย เมื่ออยู่เมืองไทยได้ระยะหนึ่ง ได้ทดลองขายเมล็ดพันธุ์ผักคุณภาพสูง ก็ยิ่งเห็นลู่ทางการธุรกิจจึงได้ตัดสินใจชวนน้องชายคือ เจี่ย เซี่ยวฮุย( ท่านชนม์เจริญ เจียรวนนท์)เดินทางจากเมืองจีนเพื่อก่อร่าง สร้างตัว สร้างอนาคตร่วมกัน โดยเปิดแผงลอยเล็กๆบนถนนทรงวาดในละแวกสำเพ็ง โดยเน้นขายเมล็ดพันธุ์ผักที่มีคุณภาพสูง และเมื่อการค้าเจริญก้าวหน้าจึงได้ตัดสินใจเปิดร้านค้าเล็กๆที่ชื่อว่า”เจียไต๋จึง” ซึ่งมีความหมายว่า”ร้านที่ยิ่งใหญ่ เปี่ยมด้วยคุณธรรมความซื่อสัตย์” ในปี 2464 เป็นร้านห้องแถวเล็กๆที่ทางวัดสัมพันธวงศารามปลูกไว้ให้คนเช่าในราคาที่ไม่แพง ตั้งอยู่เลขที่ 102 บนถนนทรงสวัสดิ์ ย่านทรงวาด เป็นห้องแถว 2ชั้น ยุคเริ่มแรก

ร้านเจียไต๋เริ่มจากการจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ผักกาดขาว ผักกาดเขียว หัวผักกาด และได้กลายเป็นตำนานหน้าหนึ่งของการทำการค้าเพื่อจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ผักที่มีคุณภาพ ที่นำมาจากเมืองจีนและแหล่งต่างๆมาขายแก่ลูกค้าทั้งชาวจีนอพยพและชาวไทยเชื้อสายจีนไปจนถึงคนไทยที่นิยมปลูกพืชผักขายและบริโภคเอง โดยสินค้าของเจียไต๋ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงมากในวงการเพาะปลูกพืชผักในสมัยนั้น จากร้านค้าที่ถนนทรงวาด ก็เริ่มขยายกิจการไปเปิดสาขาของร้านเจียไต๋ที่เมืองหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาในปี 2482 โดยมีเป้าหมายที่จะขยายธุรกิจการค้าไปที่ประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์และประเทศอื่นๆที่ใกล้เคียง

ขณะที่กิจการการค้าของเจียไต๋กำลังก้าวหน้าไปยังตลาดต่างประเทศ ในปี 2484ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่2 ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนไปทั่วโลก รวมทั้งส่งผลกระทบต่อการค้า เวลานั้นเป็นช่วงที่ท่านเจี่ย เอ็กชอกำลังบุกเบิกการค้าอยู่ในต่างประเทศจึงไม่สามารถกลับประเทศไทยได้ กิจการของร้านเจียไต๋ต้องหยุดชะงักลงชั่วคราว เพราะไม่สามารถส่งสินค้าต่างๆที่เป็นหัวใจหลักเข้าสู่เมืองไทยได้ จนกระทั่งสงครามได้สงบลงราวเดือนสิงหาคม 2488หลังจากนั้น ท่านเจี่ยเอ็กชอจึงได้เดินทางกลับเมืองไทยและเริ่มเดินทางไปประเทศจีนอีกครั้งเพื่อดำเนินการจัดหาเมล็ดพันธุ์ผักและสินค้าที่เกี่ยวกับการเกษตร มีการเปิดร้านจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ผักขึ้นที่เมืองซัวเถา ณ มณฑลกวางตุ้ง ชื่อว่า”กวงไต๋จึง”

ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้เปิดร้านไว้แล้วชื่อว่า”กวงเม้ง”ต่อมาจึงนำมารวมเป็นชื่อใหม่ว่า”เจียไต๋กวงเม้ง”หรือ”เจิ้นต้ากวงหมิน” โดยท่านเจี่ยเอ็กชอใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ประเทศจีนเพื่อทดลองเพาะพันธุ์ ดัดแปลง พันธุ์ผัก ผลไม้และสัตว์ ขณะที่ท่านเจี่ย เซี่ยวฮุยได้ขยายกิจการของเจียไต๋ไปในที่ต่างๆทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ โดยมีบุตรชายและธิดาของท่านเจี่ยเอ็กชอและเจี่ย เซี่ยวฮุยเข้ามาช่วยดูแลกิจการ และเติบโตเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

กล่าวได้ว่าความสำเร็จในเบื้องต้นของร้านเจียไต๋จึงเกิดจากภูมิปัญญา ความรู้ ความสามารถของ 2ผู้ก่อตั้ง โดยท่านเจี่ย เอ็กชอ แม้ท่านจะไม่ได้เรียนหนังสือระดับที่สูง จบเพียงป.6แต่กลับมีความโดดเด่นในเรื่องของการเป็นคนที่ชอบคิดค้น พัฒนาการเพาะพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์พืช พันธุ์ผัก ผลไม้รวมทั้งสัตว์เลี้ยง มีจิตวิญญาณความเป็นนวัตกรที่ชอบทำการทดลอง เรียนรู้ตลอดเวลา ด้วยการพัฒนาข้าวเปลือกพันธุ์หนึ่งในเมืองจีนที่มีคุณภาพดี โตเร็วและให้ผลผลิตต่อไร่สูงชื่อว่า”ข้าวพันธุ์เจี่ย เอ็กชอ” หรือความสามารถในการผสมพันธุ์สัตว์ปีกอย่างห่านพันธุ์”หัวสิงโต”ที่ท่านเจี่ย เอ็กชอคิดค้นเป็นห่านที่โตเร็ว น้ำหนักมาก มีชื่อเสียงในเมืองจีน รวมทั้งการค้นพบวิธีปลูกต้นเก็กฮวยให้ออกดอกนอกฤดูได้สำเร็จ

รวมทั้งการเป็นคนที่ก้าวหน้า ทันสมัย เห็นได้จากร้านเจียไต๋จึงยุคเริ่มแรกขายเมล็ดพันธุ์ผักกาดขาว ผักกาดเขียว หัวผักกาด โดยบรรจุใส่ถุงเล็กๆซึ่งเป็นถุงกระดาษที่พิมพิ์ด้วยสีที่ยุคนั้นผู้คนไม่คิดว่าจำเป็นจะต้องทำบรรจุภัณฑ์ให้สวยงาม แต่ท่านเจี่ยเอ็กชอไม่คิดเช่นนั้นและท่านก็ยังเริ่มใช้เรือบินมาเป็นเครื่องหมายการค้าด้วยวิสัยทัศน์ที่มองเห็นเรือบินเป็นสัญญลักษณ์ของเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ทันสมัย ด้วยการประทับตราเรือบินลงบนบรรจุภัณฑ์ ที่สำคัญท่านยังริเริ่มระบุวันหมดอายุของเมล็ดพันธุ์อีกด้วย หากลูกค้าซื้อไปแล้ว สินค้าหมดอายุก็สามารถนำมาเปลี่ยนใหม่ได้ นับเป็นความคิดที่ล้ำหน้าและสะท้อนถึงความยึดมั่นในการทำธุรกิจที่ซื่อสัตย์

ท่านเจี่ยเอ็กชอมีความคิดว่า”งานปลูกผักเป็นงานที่หนัก ชาวสวนต้องรดน้ำทุกวัน หากเมล็ดพันธ์ที่ขายปลูกลงไปไม่ขึ้น ชาวสวนก็เสียหาย ขาดทุน ต้องไม่ทำให้เกษตรกรขาดทุน” ท่านจึงให้ความสำคัญกับคุณภาพของเมล็ดพันธุ์มากที่สุด รับเมล็ดพันธุ์ที่ดีมาขายจากหลายๆแหล่ง ทำให้คู่ค้า ลูกค้า เกษตรกรเกิดความเชื่อมั่น ให้การยอมรับ ทำให้กิจการเติบโต ขณะที่ท่านเจี่ยเซียวฮุย ผู้น้องมีความโดดเด่นในเรื่องของคนที่มีวิสัยทัศน์ มีแผน แนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างยอดเยี่ยมรวมถึงการเป็นผู้ทำการค้า ในเรื่องของมีน้ำใจ เอาใจใส่ลูกค้า คู่ค้า ที่อ่อนน้อม สุภาพ ซื่อสัตย์ ที่เป็นกุญแจสำคัญในการทำการค้า มีเรื่องเล่าขานถึงความเป็นนักขาย นักการตลาด โดยเฉพาะการออกไปเยี่ยมลูกค้าไม่ว่าหนทางจะลำบากเพียงใด และยังเป็นผู้มีจิตใจเมตตากรุณาคอยช่วยเหลือผู้คน

ผู้ก่อตั้งทั้ง 2จึงเป็นต้นแบบในการวางรากฐานการดำเนินกิจการที่สำคัญบนปรัชญา ค่านิยมที่ยึดมั่นในการทำการค้าที่ซื่อตรง ซื่อสัตย์ สุจริต ยึดมั่นในคุณภาพและคุณธรรม ให้ความสำคัญกับความรู้ เทคโนโลยีในการผลิตสินค้าที่มีประโยชน์และมีคุณภาพกับบรรดาเกษตรกร คู่ค้า ลูกค้าทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ และถูกถ่ายทอดเป็นDNAสู่รุ่นลูก ที่ขึ้นมาเป็นผู้นำรุ่นที่2ในเวลาต่อมา

กำเนิดCPสู่การสร้างสรรค์ธุรกิจต่อยอดวัฒนธรรม 6ค่านิยม
หลังสงครามโลกครั้งที่2 สิ้นสุดลง ในปี2488 สถานการณ์ของบ้านเมืองและของโลกกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ทำให้การค้าขาย การทำธุรกิจของร้านเจียไต๋กลับคืนมาดังกล่าว เป็นช่วงเวลาที่บุตรชายและธิดาของผู้ก่อตั้งทั้ง2 เติบโต เริ่มจบการศึกษาเช่นประธานจรัญ ประธานมนตรี เจียรวนนท์ บุตรชายท่านเจี่ย เอ็กชอ เรียนจบจากเสฉวนกลับมาช่วยกิจการที่ร้านเจียไต๋จึง โดยเฉพาะท่านประธานจรัญผู้มีความคิดที่อยากจะจำหน่ายวัตถุดิบอาหารสัตว์เพิ่มเติมจากการขายเมล็ดพันธุ์และอุปกรณ์การเกษตรที่เป็นธุรกิจดั้งเดิมของเจียไต๋

สร้างสิ่งไม่มีค่าสู่การมีคุณค่ากำเนิดอาหารสัตว์
ประธานจรัญเห็นว่าช่วงเวลานั้นรัฐบาลไทยได้มีนโยบายส่งเสริมให้คนไทยหันมาเลี้ยงสัตว์เพื่อการบริโภค ทำให้กระแสความนิยมเลี้ยงสัตว์เพิ่มมากขึ้นเพื่อไว้เป็นอาหารในบ้านและค้าขาย แต่เวลานั้นยังขาดแคลนอาหารสัตว์ดีๆที่จะให้สัตว์บริโภค การเลี้ยงสัตว์ก็ปล่อยให้สัตว์หากินเองตามธรรมชาติหรือเป็นแค่เศษอาหารหรือพืชผัก ประธานจรัญและคุณสงวน ประเดิมสุข พี่เขยท่านประธานจรัญมองเห็นโอกาสทางธุรกิจทางด้านอาหารสัตว์ ด้วยความคิดในการนำเอาผลผลิตทางการเกษตรที่เหลือทิ้งมาสร้างมูลค่าด้วยการทำเป็นวัตถุดิบสำหรับทำอาหารสัตว์

จึงได้เริ่มจัดซื้อวัตถุดิบอาหารสัตว์จำพวกกากถั่ว ข้าวโพด ฯลฯเพื่อจัดส่งให้โรงบดอาหารสัตว์ของพลตรีหลวง วีรวัฒน์โยธิน สำหรับใช้ในฟาร์มหมูของท่าน และโรงบดอาหารสัตว์ของคุณหลวงยังรับจ้างบดวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้ผู้ว่าจ้างต่างๆ อีกด้วย

เมื่อครั้งที่ พลตรีหลวง วีรวัฒน์โยธินเลิกกิจการโรงบดที่สะพานควาย และเห็นในความมานะอุตสาหะของคุณสงวนและคุณจรัญ คุณหลวงจึงได้มอบเครื่องบดที่ซื้อมาจากสหรัฐอเมริกาในราคา 2,000 บาทให้ทั้งสอง เพื่อใช้ประกอบอาชีพรับจ้างบดวัตถุดิบอาหารสัตว์ จากนั้นจึงได้มีการก่อตั้งโรงบดอาหารสัตว์แห่งแรกที่ตรอกจันทน์

ได้เปลี่ยนจากการจัดซื้อวัตถุดิบมาเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ของตนเอง โดยมีท่านเจี่ยเซียวฮุย คุณอาให้การสนับสนุนในเรื่องของเงินลงทุนและให้คำแนะนำปรึกษาในการทำธุรกิจและการตลาด โดยมีประธานมนตรี เจียรวนนท์น้องชายประธานจรัญเข้ามาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการขยายช่องทางการค้าเพิ่มมากขึ้น

ในที่สุดประธานจรัญจึงได้เปิดร้านขายอาหารสัตว์ชื่อว่า”เจริญโภคภัณฑ์” ในปี2496 โดยตั้งอยู่ใกล้ๆเยื้องจากร้านเจียไต๋ ร้านเจริญโภคภัณฑ์จึงถือกำเนิดขึ้นมาครั้งแรกในประเทศไทย โดยพระยาทรงอักษร อดีตหัวหน้ากองบริษัทเกษตรกรรมทหารผ่านศึกเป็นผู้ตั้งชื่อให้ มีชื่อในภาษจีนว่า”ผกพังแชเทียกเอี้ยงเลี้ยงฮะกงซี”ซึ่งท่านเจี่ย เอ็กชอ ผู้เป็นบิดาประธานจรัญเป็นผู้ตั้งให้ แปลว่า”เราเป็นประดุจผึ้งขยันและบินไกล สามัคคี ร่วมแรงร่วมใจกัน สร้างฐานะให้เป็นปึกแผ่น เสมือนผึ้งสร้างรัง”

สู่การเปลี่ยนแปลงด้วยวิสัยทัศน์ +วิชาการ ความรู้ เทคโนโลยี การจัดการ
นับแต่นั้นเป็นต้นมา ร้านเจริญโภคภัณฑ์ก็เติบโต ก้าวหน้า จนกระทั่งในปี2501จึงได้ยกฐานะจากร้านเจริญโภคภัณฑ์มาเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล โดยมีคณะกรรมการและผู้ก่อตั้งคือประธานจรัญ ประธานมนตรี ประธานสุเมธและประธานธนินท์ เจียรวนนท์ ซึ่งขณะนั้นอายุยังไม่ถึง20ปีบริบูรณ์ เพิ่งจะเข้ามาช่วยงานของครอบครัว หลังจากจบการศึกษาจากวิทยาลัยฮ่องกงมาได้ไม่นาน โดยช่วยงานในตำแหน่งแคชเชียร์

ต่อมาในปี 2502 ร้านเจริญโภคภัณฑ์ก็เปลี่ยนจากห้างหุ้นส่วนจำกัดขึ้นเป็นบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจและเพื่อสร้างความเชื่อถือแก่ลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิฮ่องกง สิงคโปร์ ประเทศในภูมิภาคอินโดจีนและอีกหลายประเทศ

โดยเฉพาะประธานธนินท์ได้เริ่มเข้ามาช่วยงานอย่างเต็มตัวในปี2506 หลังจากได้ไปเรียนรู้ประสบการณ์ที่ล้ำค่าที่บริษัทสามัคคีค้าสัตว์มาตั้งแต่ปี2504ได้เข้าไปเรียนรู้ในระบบงานสมัยใหม่และเกี่ยวข้องกับสัตว์ปีกโดยเฉพาะไก่ที่กลายมาเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อเครือซีพี เพราะเมื่อประธานธนินท์กลับเข้ามาช่วยงานที่บริษัทเจริญโภคภัณฑ์ได้นำประสบการณ์ การบริหารจัดการของบริษัทสหสามัคคีมาใช้ในการพัฒนากิจการร้านเจริญโภคภัณฑ์จนเติบโต

ในปี2512 ประธานจรัญได้ตัดสินใจแต่งตั้งให้ประธานธนินท์ ซึ่งมีอายุ30ปีดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ เครือเจริญโภคภัณฑ์ นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่กิจการของครอบครัวก้าวสู่การเป็นองค์กรธุรกิจสมัยใหม่ที่มีผู้บริหารที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาร่วมสร้างกิจการ โดยประธานธนินท์ มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศเพื่อศึกษา นำแนวคิด แนวทางการบริหารองค์กรสมัยใหม่รวมทั้งการแสวงหาแนวคิด รูปแบบการทำธุรกิจที่จะมาสนับสนุนกิจการอาหารสัตว์ ตลอดจนเทคโนโลยีการเลี้ยงสัตว์ เช่นการเลี้ยงไก่ที่มีประสิทธิภาพ มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำเพื่อให้เกษตรกรสามารถเลี้ยงไก่ได้เพิ่มขึ้นและมีต้นทุนที่ต่ำลง เพื่อให้ไก่กลายเป็นอาหารโปรตีนราคาถูกเพื่อให้คนที่มีรายได้น้อยสามารถซื้อเนื้อไก่มาบริโภค มากขึ้น ก็จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจอาหารสัตว์ของเจริญโภคภัณฑ์

ก้าวสู่อุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์สร้างอาหารมนุษย์
ประธานธนินท์ได้ศึกษาการเลี้ยงสัตว์ของโลก พบว่าสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีการเลี้ยงไก่เนื้อเชิงอุตสาหกรรมในลักษณะครบวงจรตั้งแต่เรื่องการพัฒนาสายพันธุ์ไก่ การเลี้ยงไก่ การนำไก่สู่กระบวนการชำแหละเพื่อไปสู่ผู้บริโภค ทำให้อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ การเลี้ยงสัตว์ของอเมริกาเติบโต จึงได้นำแนวคิดดังกล่าวมาพัฒนา ประยุกต์ให้เหมาะสมกับประเทศไทย มีการพัฒนาปรับปรุงตั้งแต่เรื่องพันธุ์ไก่ การส่งเสริมการเลี้ยงไก่กับเกษตรกร การตั้งโรงฆ่าชำแหละไปจนถึงการแปรรูปเนื้อไก่เป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย

โดยในปี2513 ซีพีได้นำเข้าพันธุ์ไก่เนื้อจากบริษัทอาร์เบอร์ เอเคอร์ของสหรัฐอเมริกาเข้ามาพัฒนาปรับให้เหมาะสมกับสภาพของเมืองไทย ปี2516ได้สร้างโรงฟักไข่เพื่อส่งลูกไก่เนื้อจำนวนมากให้เกษตรกรผู้เลี้ยง และปี2518ได้เริ่มส่งเสริมการเลี้ยงไก่ในรูปแบบโรงเรือนที่สามารถเลี้ยงไก่จำนวนมาก ขณะเดียวกันก็ได้สร้างโรงงานอาหารสัตว์ โรงเชือดและโรงงานแปรรูปเนื้อไก่ด้วยระบบอัตโนมัติแห่งแรกที่บางนา รวมทั้งยังเกิดธุรกิจที่ต่อเนื่องตามมามากมายทั้งบริษัทรองรับการก่อสร้างฟาร์มไก่ บริษัทขนส่งไก่ ทำให้ซีพีสามารถสร้างระบบการผลิตไก่เนื้อแบบครบวงจรรายแรกในประเทศไทยตั้งแต่อาหารสัตว์ที่เป็นต้นน้ำไปจนถึงการแปรรูปเนื้อไก่ที่เป็นปลายน้ำและได้ขยายแนวคิดธุรกิจครบวงจรไก่เนื้อออกสู่ภูมิภาคต่างๆของประเทศไทย มีการตั้งโรงงานอาหารสัตว์ การส่งเสริมการเลี้ยงไก่ การตั้งโรงเชือด โรงงานแปรรูป ส่งผลให้คนไทยมีเนื้อไก่มีโอกาสซื้อหาเนื้อไก่ในราคาถูก สะอาด ปลอดภัยกลายเป็นโปรตีนราคาถูกรับประทานได้ทุกวัน

จากความสำเร็จในการพัฒนาธุรกิจไก่เนื้อครบวงจร ประธานธนินท์ได้นำรูปแบบการผลิตแบบครบวงจรขยายไปยังปศุสัตว์อื่นเกิดเป็นธุรกิจไก่ไข่ ธุรกิจสุกร ธุรกิจการเลี้ยงกุ้ง และสัตว์น้ำ ทำให้เกิดอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องตามมามากมาย เกิดการจ้างงาน เกิดธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก และยังขยายห่วงโซ่อุปทานอย่างต่อเนื่องขึ้นไปถึงจุดเริ่มต้นน้ำของอาหารสัตว์ด้วยการพัฒนาคุณภาพของเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด พืชไร่ที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์จนเกิดเป็นกลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เกิดการส่งเสริมพัฒนาสินค้าเกษตร การส่งเสริมการเพาะปลูกพืชไร่เช่นข้าวโพดกับเกษตรกร ขณะเดียวกันก็เกิดการพัฒนาต่อเนื่องในอุตสาหกรรมปลายน้ำ โดยเครือซีพีได้ขยายธุรกิจในการผลิตอาหารสำเร็จรูป อาหารพร้อมทาน อาหารแช่แข็งและต่อยอดออกไปเป็นธุรกิจค้าปลีก ค้าส่งเพื่อขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าของบริษัท เกิดเป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกและจัดจำหน่าย ทำให้เครือซีพีประสบความสำเร็จนการสร้างห่วงโซ่อุปทานอาหารแบบครบวงจรตั้งแต่การผลิตระดับไร่นาหรือฟาร์มเลี้ยงสัตว์ไปจนถึงโต๊ะอาหาร(From Farm To Table)

ผลของการพัฒนาธุรกิจครบวงจรดังกล่าวได้สร้างคุณูปการต่อภาคการเกษตรเนื่องจากมีการส่งเสริมการเพาะปลูกพืชไร่ที่เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์กับเกษตรกรโดยการรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกร การสร้างโอกาสให้เกิดอาชีพใหม่ๆในฟาร์มเลี้ยงสัตว์และโรงงาน เกิดอาชีพการเลี้ยงสัตว์ ที่สำคัญทำให้เนื้อสัตว์ที่เคยมีราคาสูงกลายเป็นอาหารราคาถูกคนทุกระดับรายได้สามารถหาซื้อรับประทานได้และไม่เพียงคนในประเทศ ยังกลายเป็นสินค้าเพื่อส่งออกไปสู่ผู้บริโภคทั่วโลก

ก้าวสู่ครัวของโลก
จากความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจเกษตรครบวงจรทั้งด้านสัตว์เลี้ยงและพืชไร่ เครือซีพีได้เห็นโอกาสที่จะนำรูปแบบธุรกิจครบวงจรไปลงทุนในประเทศที่กำลังพัฒนาที่มีความต้องการอาหาร ประกอบกับรัฐบาลจากประเทศต่างๆในภูมิภาคอาเซียนรับรู้ถึงความสำเร็จและจุดมุ่งหมายการทำธุรกิจเพื่อเป็นประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ จึงได้เชิญชวนเครือซีพีไปลงทุนในธุรกิจการเกษตรอุสาหกรรมอาหารเพื่อส่งเสริม พัฒนาอาชีพด้านการเกษตร การเลี้ยงสัตว์ โรงงานอาหารสัตว์ ไปจนถึงการแปรรูปเป็นอาหารเพื่อให้ประชาชนมีอาหารที่ปลอดภัยมีราคาถูกเกิดความมั่นคงด้านอาหาร เกิดการไปลงทุนในประเทศภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งเอเชีย เช่นอินโดนีเซีย เวียดนาม กัมพูชา ลาว เมียนมา ฯลฯ

รวมทั้งการลงทุนในประเทศจีนที่ผู้ก่อตั้งท่านเจี่ย เอ็กชอถือเป็นแผ่นดินมาตุภูมิ ภายหลังจีนดำเนินนโยบายเปิดประเทศในปี2521 เครือซีพีได้ตัดสินใจเข้าไปลงทุนทำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม โดยได้รับใบอนุญาตเป็นบริษัทต่างชาติรายแรกที่เข้าไปลงทุนที่เซินเจิ้นในปี2524

นับแต่นั้นมาเครือซีพีก็ได้ร่วมกับมณฑลต่างๆของจีนในการลงทุนพัฒนากิจการด้านเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร ตั้งแต่การปลูกพืช การผลิตอาหารสัตว์ จนถึงการแปรรูปเนื้อสัตว์ มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาให้ประเทศจีน กระตุ้นให้เกิดอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ อุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ อุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกร ทำให้ประเทศจีนสามารถเพิ่มผลผลิตเนื้อสัตว์ให้กับชาวจีนในระยะเวลาอันสั้น และนอกจากการลงทุนธุรกิจด้านเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร เครือซีพียังได้ร่วมลงทุนในกิจการอื่นๆในประเทศจีน อาทิธุรกิจมอเตอร์ไซค์ในเซี่ยงไฮ้ อุตสาหกรรมผลิตเบียร์ รวมทั้งห้างสรรพสินค้าซูเปอร์แบรนด์มอลล์ ธุรกิจโลตัส ซูเปอร์เซ็นเตอร์จากเขตผู้ตงและขยายไปทั่วประเทศ มีเครือข่ายกว่า 80สาขา และยังก้าวไปสู่ธุรกิจเวชภัณฑ์ ในบริษัทผลิตยาต่างๆของประเทศจีนกว่า 20บริษัท เครือซีพีเข้าไปลงทุนทั่วประเทศจีนยกเว้นมณฑลชิงไห่และทิเบต มีกิจการมากกว่า 300บริษัทที่ครอบคลุมธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม ธุรกิจอาหาร ธรกิจยานยนต์ ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจเวชภัณฑ์

จากร้าน ”เจียไต๋จึง” จำหน่ายเมล็ดพันธุ์เล็กๆที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพในยุคผู้ก่อตั้ง 2พี่น้อง และการเกิดร้าน”เจริญโภคภัณฑ์”ที่จำหน่ายวัตถุดิบอาหารสัตว์จนขยายกิจการเป็นบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ที่แตกหน่อต่อยอดธุรกิจออกไปแบบครบวงจรในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและขยายสู่ธุรกิจอื่นๆ ล้วนเป็นผลจากปัจจัยสำคัญคือการยึดมั่นในการทำธุรกิจด้วยความ ซี่อสัตย์ สุจริตให้ความสำคัญกับการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ให้ความสำคัญกับความรู้ เทคโนโลยี การมีจิตวิญญาณของผู้ประกอบการที่มีความรับผิดชอบสังคมที่สืบทอดต่อเนื่องกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ผลักดันให้เครือซีพีประสบความสำเร็จในการบุกเบิกการทำธุรกิจที่เป็นประโยชน์ อีกทั้งเครือซีพีได้ยอมรับการเปลี่ยนแปลงจึงไม่หยุดในการพัฒนาด้านต่างๆทั้งด้านบุคลากรโดยสรรหาบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ เป็นคนดีเข้ามา กาพัฒนา แสวงหาเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ทันสมัยของโลกมาปรับปรุง พัฒนา การผลิต การตลาด การบริหารจัดการ การสร้างโอกาส สร้างงาน สร้างธุรกิจที่เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในเรื่องของอาหารมนุษย์

มหัศจรรย์แห่งเมล็ดพันธุ์และสายพันธุ์
จากความเติบโต ก้าวหน้าของเจียไต๋และเครือซีพีกล่าวได้ว่าเป็นผลจากการค้นพบว่า”สายพันธุ์ เมล็ดพันธุ์”คือหัวใจสำคัญ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ทำให้เจียไต๋และเครือซีพีกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่ผลิดอกออกผล แตกกิ่งก้านสาขาตลอด 100ปี ดั่งเช่นการค้นพบเมล็ดพันธุ์ผักที่ดีเพื่อนำมาเป็นอาหารของมนุษย์ ที่ร้านเจียไต๋จึงนำมาจำหน่ายตั้งแต่ยุคก่อตั้งของ 2พี่น้อง ท่านเจี่ยเอ็กชอและเจี่ยเซียวอุยและส่งผลให้เจียไต๋ไม่หยุดที่จะพัฒนาเมล็ดพันธุ์ผัก พันธุ์พืชที่เป็นอาหารมาอย่างต่อเนื่องยาวนานจนถึงปัจจุบัน

เช่นเดียวกับการค้นพบของเครือซีพีที่พบว่า”สายพันธุ์สัตว์เลี้ยง”ที่มนุษย์นำมาทำเป็นอาหารไม่ว่าจะเป็นไก่ สุกร เป็ด กุ้ง สัตว์น้ำ สายพันธุ์ที่ดีจะต้องเป็นสายพันธุ์ที่เติบโตเร็ว แข็งแรง ทนทานต่อโรคและให้ผลผลิตหรืออัตราแลกเนื้อที่ดี เกษตรกรผู้เลี้ยงดูแลได้ง่าย เป็นสายพันธุ์ที่ผู้บริโภคต้องการ ปลอดภัย มีคุณค่าทางโภชนาการ เครือซีพีจึงทุ่มเทในการพัฒนาสายพันธุ์สัตว์เลี้ยงที่ดี รวมทั้งสายพันธุ์พืชที่เป็นวัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์

เช่นกรณีของไก่ในประเทศไทย ด้วยสายตายาวไกลของประธานธนินท์ ท่านได้เดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นแหล่งผลิตสำคัญด้านไก่เนื้อได้พบกับบริษัทอาร์เบอร์เอเคอร์สบริษัทผู้ผลิตไก่รายใหญ่ของโลกมีการเจรจาอย่างยาวนานจนสามารถเจรจาร่วมทุนกันและจัดตั้งบริษัทอาร์เบอร์เอเคอร์ส(ประเทศไทย)ขึ้น โดยระยะแรกมีการนำพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์เข้ามาใช้ผลิตลูกไก่เนื้อออกมาเลี้ยงและจำหน่ายกับเกษตรกร ต่อมามีการนำเข้าปู่ย่า ตายายพันธุ์เข้ามาเลี้ยงในประเทศไทยแทนการนำเข้าพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ ทำให้ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาการเลี้ยงไก่ในประเทศไทย

ทั้งยังนำไปสู่การพัฒนาสูตรอาหาร ด้านการจัดการดูแลด้านการจัดการและป้องกันโรคจนเกิดเป็น 5หัวใจสำคัญของการเลี้ยงสัตว์คือ1.พันธุ์ดี2.อาหารดี3.โรงเรือนดี4.การป้องกันโรคดี5.การจัดการดี นอกจากนี้ทำให้เครือซีพีสามารถผลิตอาหารสัตว์ที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพสูงออกมาใช้เลี้ยงไก่เนื้อในประเทศไทย ใช้อาหารประมาณ 1.8-2.0กิโลกรัมสามารถแลกเป็นเนื้อไก่ 1กิโลกรัมและสามารถร่นเวลาการเลี้ยงจากเดิม 5-6เดือนเหลือเพียง 42วันก็สามารถเลี้ยงไก่ได้น้ำหนัก1.7-1.8 กิโลกรัม ตามความต้องการของตลาดได้


เช่นเดียวกับสุกรเครือซีพีได้ปรับปรุงขยายพันธุ์สุกรด้วยการนำสุกรไฮบริดจ์เข้ามาจากต่างประเทศตั้งแต่ปี2514 โดยนำมาเลี้ยงที่ฟาร์มท่าจาม ฟาร์มระยอง ส่วนสุกรพันธุ์แท้เช่นดูรอคเจอร์ซี่ ลาร์จไวท์ แลนด์เรซนำไปเลี้ยงคัดเลือกปรับปรุงพันธุ์ที่ฟาร์มสีคิ้ว จากการดำเนินงานของฝ่ายวิชาการบริษัททำให้สุกรที่เคยเลี้ยงให้ได้น้ำหนัก 100กิโลกรัมด้วยระยเวลา 1-1.5ปีลดลงเหลือเพียง 8 เดือน ส่วนสุกรพันธุ์ที่นำมาเลี้ยงระยะแรกลดลงเหลือ 6เดือน ช่วยให้เกษตรกรสามารถมีรายได้จากการเลี้ยงสุกรปีละ2ครั้ง มีรายได้มากกว่าเดิม

จากตัวอย่างการพัฒนาสายพันธุ์ไก่เนื้อ สุกรดังกล่าวเครือซีพียังเห็นโอกาสและพัฒนาสายพันธุ์สัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ เช่นไก่ไข่ เป็ด กุ้ง สัตว์น้ำ ฯลฯ เพื่อให้ได้พันธุ์สัตว์ที่แข็งแรง ทนทานต่อโรค เลี้ยงง่ายโตไว มีอัตราการแลกเนื้อที่ดี เกษตรกรสามารถนำไปเลี้ยงได้ง่าย มีรอบการเลี้ยงที่มากขึ้นช่วยเพิ่มรายได้ และตอบสนองความต้องการของตลาดผู้บริโภค

เช่นเดียวกับสายพันธุ์พืชที่นำมาทำเป็นอาหารสัตว์เช่นข้าวโพด เครือซีพีได้ตั้งบริษัทซี.พี.แสตนดาร์ดรีซ้อส ในปี2522 ขึ้นมาเพื่อทำวิจัยปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดให้มีผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น ทุ่มเทงบประมาณ บุคคลากร นักวิจัย นักพันธุกรรม เทคโนโลยีการเพาะปลูก โดยรวบรวมพันธุ์ข้าวโพดในประเทศมาศึกษา รวมทั้งร่วมกับนักวิจัยต่างประเทศนำเข้าพันธุ์มาทดสอบ ปรับปรุงขยายพันธุ์ที่เหมาะกับสภาพอากาศเมืองไทย มีความทนทานต่อความแห้งแล้ง ทนต่อโรค แมลง

เครือซีพีใช้เวลาร่วม10ปีกับการวิจัยพัฒนาพันธุ์ข้าวโพดจนสามารถพัฒนาพันธุ์ข้าวโพดซี.พี1ที่ให้ผลผลิตต่อไร่ถึง900กก. ตามด้วยพันธุ์ซี.พี.707 เป็นพันธุ์ลูกผสมที่ให้ผลผลิตต่อไร่ถึง 1,000กก. พันธุ์ซี.พี. DK211เป็นสายพันธุ์ลูกผสมสามทางมีผลผลิตต่อไร่สูงถึง1,100กก.ตามด้วยพันธุ์ซี.พี.DK811ลูกผสมสามทางให้ผลผลิตต่อไร่สูงถึง 1,200กก.และซี.พี.DK 888 ลูกผสมเดี่ยวที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูงถึง 1,400กก.และ1ต้นให้ผลถึง2ฟัก ขณะที่ข้าวโพดทั่วไปจะออก 1ฟักต่อต้น

จากสายพันธุ์ เมล็ดพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ดังกล่าวถือได้ว่าไม่เพียงเป็นความมหัศจรรย์ของสายพันธุ์ เมล็ดพันธุ์ ยังเป็นมหัศจรรย์ที่ทำให้เจียไต๋และเครือซีพีก้าวไปสู่ความสำเร็จของทำธุรกิจเกษตร อุตสาหกรรมและอาหารดังที่กล่าวมา

โลกกับโอกาสสร้างสรรค์
ตลอดช่วงเวลาที่ประธานธนินท์รับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ตั้งแต่ปี2512 เกือบ 2ทศวรรษเครือซีพีได้เดินทางสู่ความสำเร็จอย่างรวดเร็วในการดำเนินธุรกิจด้านเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร กลายเป็นผู้นำในการผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่ของโลก เป็นผู้นำในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารพร้อมที่จะเป็น”ครัวของโลก”

นอกจากนี้เครือซีพียังได้นำประสบการณ์ ความรู้ในการบริหารจัดการ รวมทั้งการสรรหาผู้มีความรู้ความสามารถที่เป็นมืออาชีพจากทั่วโลกด้วยความเชื่อว่าตลาดโลกคือตลาดของซีพี คนเก่งของโลกคือคนก่งของซีพีเพื่อแตกยอดออกไปในธุรกิจอื่นๆที่เป็นNon Food รวมเป็น 8สายธุรกิจหลักรวม 13กลุ่มธุรกิจได้แก่

1.สายธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร 2.สายธุรกิจค้าปลีก 3.สายธุรกิจสื่อสารและโทรคมนาคม 4.สายธุรกิจอีคอมเมิร์ซและดิจิตัล 5.สายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 6.สายธุรกิจยานยนต์และอุตสาหกรรม 7.สายธุรกิจยาและเวชภัณฑ์ 8.สายธุรกิจการเงินและการธนาคาร ประกอบด้วย 1.กลุ่มธุรกิจเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ยและผลิตภัณฑ์อารักขาพืช 2.กลุ่มธุรกิจเกษตรอุสาหกรรมและอาหาร 3.กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ 4.กลุ่มธุรกิจการตลาดและการจัดจำหน่าย 5.กลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์ 6.กลุ่มธุรกิจพัฒนาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์7.กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร

8.กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง 9.กลุ่มธุรกิจการค้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ 10.กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม11.กลุ่มธุรกิจยานต์ยนต์และอุตสาหกรรม(จีน) 12.กลุ่มธุรกิจการเงินและการธนาคาร(จีน) 13.กลุ่มธุรกิจเวชภัณฑ์ โดยมีโรงงานผลิต 278แห่ง ฟาร์มเลี้ยงสัตว์บกและสัตว์น้ำ 951แห่ง ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น หมื่นกว่าสาขา ไฮเปอร์มร์เก็ต/ซูเปอร์สโตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนา/สถานีวิจัย 52แห่ง ประเทศและเขตเศรษฐกิจ 21ประเทศ มีจำนวนพนักงานกว่า4แสนคน ครอบคลุมจำนวนประชากรใประเทศที่เป็นฐานเศรษฐกิจ 4,381ล้านคน

ทั้งนี้เครือซีพีมีแนวคิดอยู่เสมอว่าถ้าจะประกอบธุรกิจการค้าให้ยิ่งใหญ่นั้น ธุรกิจที่เครือซีพีจะลงทุนต้องเกี่ยวข้องกับคนส่วนใหญ่ และคนทั่วโลก โดยธุรกิจที่เครือซีพีจะไปลงทุนจะต้องมี1.เทคโนโลยี 2.ธุรกิจนั้นต้องเป็นประโยชน์ต่อประชาชน3.ต้องเป็นประโยชน์ต่อประเทศไม่ว่าจะดำเนินธุรกิจใหม่หรือจะขยายธุรกิจจากฐานเดิม

เครือซีพีจะยึดหลัก 4ประการ คือ1.ไม่ดำเนินธุรกิจที่มีผู้ดำเนินการอยู่มากแล้ว เว้นแต่ธุรกิจที่มีผู้ดำเนินการอยู่ก่อนยังดำเนินการไม่ดีพอ 2.ไม่ว่าจะดำเนินธุรกิจใดต้องอาศัยโนวฮาวหรือเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในโลก 3.ธุรกิจที่จะดำเนินการต้องมีฐานลูกค้ากว้างใหญ่ไพศาลหรือมีช่องทางขยายและเชื่อมโยงกับธุรกิจเดิมได้อย่างเหมาะสม 4.ธุรกิจใดๆที่ซีพีเลือกประกอบการต้องเป็นธุรกิจที่สามารถพัฒนาจนเป็นผู้นำอันดับ1ได้

และที่สำคัญเครือซีพีได้ยึดมั่นในปรัชญา 3ประโยชน์ มาเป็นหลักในการสร้างธุรกิจในทุกประเทศซึ่งหมายถึงว่าประโยชน์ที่1 ประเทศที่เครือซีพีเข้าไปลงทุนต้องได้ประโยชน์จากกิจการของเครือซีพีเป็นลำดับแรก ประโยชน์ที่2หมายถึงประชาชนในประเทศที่เข้าไปลงทุนต้องได้ประโยชน์ เป็นลำดับที่2 และประโยชน์ที่3 คือบริษัทหรือเครือซีพีต้องได้ประโยชน์ด้วยเป็นลำดับที่3 ซึ่งปรัชญา 3ประโยชน์ เป็น1ใน 6ค่านิยมหลักของเครือซีพี(1.สามประโยชน์2.ทำเร็วและมีคุณภาพ 3.ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย 4.ยอมรับการเปลี่ยนแปลง 5.สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ 6.มีคุณธรรมและความซื่อสัตย์)

คนคือทรัพยากรที่สำคัญสุด สรรหา พัฒนา รักษาคนเก่งคนดี
จากความสำเร็จของเจียไต๋และเจริญโภคภัณฑ์ที่เติบโตจากร้านเล็กๆสู่กิจการขนาดกลางและสู่กิจการขนาดใหญ่ดังกล่าว ปัจจัยแห่งความสำเร็จล้วนเกิดมาจากบุคลากรหรือคนในองค์กร เนื่องจากเครือซีพีเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาจากคน เงินก็มาจากคน เทคโนโลยีก็มาจากคน คนจึงเป็นทรัพยากรที่สำคัญ เป็นหัวใจขององค์กร เครือซีพีจึงไม่หยุดนิ่งในการสรรหาคนที่มีความรับผิดชอบสูง มีความพยายาม ขยัน อดทน มีความรู้ความสามารถและมีความซื่อสัตย์สุจริตเข้ามาอยู่ในองค์กรมากๆเพื่อนำพาองค์กรหรือบริษัทไปสู่ความสำเร็จ จาก 2ผู้ก่อตั้งร้านเจียไต๋ และการก่อตั้งร้านเจริญโภคภัณฑ์ของบุตรชายที่เป็นผู้นำรุ่นที่2 ของ4พี่น้อง เครือซีพีก็มีพนักงานเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในส่วนของเจริญโภคภัณฑ์ หลังจากมีการเปลี่ยนจากห้างหุ้นส่วนจำกัดมาเป็นบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ จำกัดในปี2502 เครือซีพีได้เริ่มดึงคนรุ่นใหม่ในยุคนั้นเข้ามาช่วยทำงาน อาทิคุณประเสริฐ พุ่งกุมาร คุณมิน เธียรวร คุณเอี่ยม งามดำรง คุณถนัด วิบูลย์กิจวรกุล คุณธีรยุทธ พิทยาอิสรกุล คุณธนากร เสรีบุรี คุณอดิเรก ศรีประทักษ์ ดร.ชิงชัย โลหะวัฒนกุล คุณก่อศักด์ ไชยรัศมีศักดิ์

และในปี2522ได้มีการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่อีกครั้ง เป็นการเปิดโอกาสของนักวิชาการ นักบริหารมืออาชีพ เข้ามา เช่น ดร.อาชว์ เตาลานนท์ ดร.วัลลภ วิมลวณิชย์ ดร.วีรวัฒน์ กาญจนดุล คุณเฉลียว สุวรรณกิตติ ต่อมาในปี2532มีการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่อีกครั้งของเครือซีพีเพื่อรองรับการขยายธุรกิจไปยังกลุ่มธุรกิจอื่นๆ พร้อมเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ที่มีความรู้จากทั่วโลกเข้ามาร่วมงานทั้งในประเทศไทยและประเทศที่ไปลงทุน
และเมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2560 เครือซีพีได้ประกาศการจัดโครงสร้างเครือเจริญโภคภัณฑ์ และโครงสร้างการบริหาร ใหม่อีกครั้ง เพื่อให้คนรุ่นใหม่มารับช่วงต่ออย่างเต็มตัวเพื่อรองรับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต โดยประธานธนินท์ขึ้นเป็นประธานอาวุโส และคุณสุภกิต เจียรวนนท์ ขึ้นเป็นประธานกรรมการ และคุณศุภชัย เจียรวนนท์ขึ้นเป็นซีอีโอ เครือซีพี

และเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและนวัตกรรมในยุค4.0 เครือซีพีได้วางวิสัยทัศน์การเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรด้วยการก่อตั้งสถาบันผู้นำเพื่อเป็นศูนย์กลางของการผนึกกำลังในการสร้างผู้นำในทุกระดับ ให้ผู้นำสร้างผู้นำ มีการพัฒนาหลักสูตรโดยเน้นการทำโครงการผ่านการปฏิบัติจริง(Action Learning Program)เพื่อให้ผู้นำมีความครบเครื่องทั้งเรื่องงานและคน โดยแบ่งเป็น 4 หลักสูตรได้แก่หลักสูตรFLP, PLP, LDP, SLDP โดยหลักสูตรFLPเป็นหลักสูตรสำหรับพนักงานรุ่นใหม่ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศเพื่อสร้างผู้นำรุ่นใหม่ในแบบฉบับของเครือซีพี หลักสูตรPLPเป็นหลักสูตรพัฒนาผู้นำรุ่นใหม่ที่เน้นการพัฒนาธุรกิจ บริหารจัดการครบวงจร หลักสูตรLDPหลักสูตรสำหรับพัฒนาผู้นำระดับปฏิบัติการให้สามารถบริหารจัดการโครงการเชิงยุทธศาสตร์ที่เน้นการปฏิรูปกระบวนการทำงานที่รวดเร็ว มีคุณภาพและหลักสูตรSLDPเป็นหลักสูตรที่เน้นการยกระดับและพัฒนาอย่างยั่งยืนผ่านการวางแผนและทำโครงการเชิงยุทธศาสตร์เปิดโอกาสให้บุคลากรทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกได้เข้าร่วมในหลักสูตร รวมทั้งยังมีหลักสูตรบ่มเพาะและหลักสูตรเสริมอีกด้วย

นอกจากการสรรหาคนเก่ง คนดี มีความรู้ความสามารถ คนที่มีความขยัน อดทน มีความซื่อสัตย์ เครือซีพียังให้ความสำคัญในการพัฒนาคนเพื่อให้คนที่อยู่ในองค์กรมีคุณภาพ มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลในการทำงาน ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อบริษัทและสังคม ไม่มีอะไรที่ให้สังคมได้ดีที่สุดเท่ากับการพัฒนาบุคคลากรให้มีความสามารถ เครือซีพียึดหลักว่าจะต้องเปิดโอกาสให้โอกาสบุคลากรได้แสดงความสามารถ ให้โอกาสคนที่มีความสามารถ เพราะคนที่มีความสามารถจะมีโอกาสสร้างงาน สร้างธุรกิจให้กับบริษัท เมื่อใครแสดงความสามารถออกมาต้องสนับสนุนให้มีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นต้องพยายามรักษาคนเก่ง คนดีให้อยู่กับองค์กรนานๆ

3ประโยชน์ปรัชญาธุรกิจที่ยาวนาน
ตลอดเส้นทางการเติบโตของเครือซีพี นอกจากความมุ่งมั่นในการสร้างคุณค่าและประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติในด้านอาหารมนุษย์และอาหารสมอง ด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม เครือซีพียังตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเครือซีพีได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาที่ยั่งยืนบนพื้นฐานของความซื่อสัตย์ รู้จักตอบแทนคุณแผ่นดิน โดยพนักงานทุกคนยึดมั่นในหลักค่านิยม 3ประโยชน์ คือประโยชน์ต่อประเทศที่ไปลงทุน ประโยชน์ต่อประชาชนและประโยชน์ต่อองค์กร บนระบบบริหารจัดการที่เรียกว่า C.P Excellence การมีธรรมาภิบาล มีความรับผิดชอบต่อสังคม เคร่งครัดต่อกฎ ระเบียบข้อบังคับ มาตรฐานของทุกประเทศที่เข้าไปลงทุนและสอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ

และเมื่อต้นปี2564เครือซีพีได้ประกาศยุทธศาสตร์และเป้าหมายการพัฒนาอย่างยืนของเครือซีพีสู่ปี2573โดยครอบคลุมถึงประเด็นที่สำคัญด้านความยั่งยืน 15ประเด็นและ15เป้าหมายหลัก คือ1.ด้านกำกับดูแลกิจการ 2.ด้านสิทธิมนุษยชนและแรงงาน3. ด้านการศึกษาและลดความเหลื่อมล้ำ 4.ด้านการพัฒนาผู้นำและทรัพยากรบุคคล 5.ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และปกป้องข้อมูล 6.ด้านสุขภาพและสุขภาวะที่ดี 7.ด้านคุณค่าและการสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่สังคม 8.ด้านความมั่นคงทางอาหารและการเข้าถึงโภชนาการ 9.ด้านการบริหารจัดการนวัตกรรม 10.ด้านความผูกพันกับผู้มีส่วนได้เสีย11. ด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ 12.ด้านระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน 13.ด้านการดูแลทรัพยากรน้ำ 14.ด้านการปกป้องระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ 15.ด้านการจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างรับผิดชอบ

ร่วมสร้างสรรค์เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน
ตลอด 100ปีที่ผ่านมา เครือซีพีได้ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านเหตุการณ์ วิกฤตการณ์และการเปลี่ยนแปลงต่างๆของโลก แต่เครือซีพีก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะมองโลกอย่างสร้างสรรค์และเชื่อว่าในวิกฤตย่อมมีโอกาส ในความมืดย่อมมีความสว่าง เช่นเดียวกับอีก 100ปีข้างหน้า โลกของเรายังมีเรื่องที่ท้าทายและการเปลี่ยนแปลงที่ต้องเตรียมพร้อม รับมือไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มขึ้นของประชากรโลกที่มีความต้องการอาหารและพลังงานที่ยั่งยืน โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม ภาวะโลกร้อน การเกิดการระบาดของโรคอุบัติใหม่ ฯลฯอย่างไรก็ตามเครือซีพีเชื่อว่าความรู้และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าจะเป็นทางออกและเป็นโอกาสในการสร้างสรรค์ธุรกิจแห่งอนาคตที่จะช่วยแก้ปัญหาและสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีและยั่งยืนของมนุษยชาติ

เครือซีพีมองโลกในอีก 100ปียังเต็มไปด้วยโอกาสไม่ว่าจะเป็นความก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้านBiotechnology มาใช้ในด้านการเกษตร รวมไปถึงการพัฒนาพันธุ์พืชและสัตว์ให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ลดความอดอยาก และเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพของผู้คน ทั้งนี้เครือซีพีไม่หยุดนิ่งในการศึกษาหาความรู้ในการนำเทคโนโลยีมาเป็นเครื่องมือผลิตอาหารเพื่อเลี้ยงปากท้องมนุษย์ เครือซีพีได้ทุ่มทุนในเรื่องอาหารของมนุษย์มายาวนาน เพราะเชื่อมั่นว่าอาหารมนุษย์จะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ หรือเทคโนโลยีด้านการสื่อสารโทรคมนาคม เครือซีพีมองว่าในศตวรรษที่21จะเป็นศตวรรษแห่งอิเล็คทรอนิกส์ เป็นศตวรรษที่มนุษย์จะได้เรียนรู้และสัมผัสกับเทคโนโลยีใหม่ๆที่ได้รับการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งจะเกิดธุรกิจเกี่ยวกับบริการและอาหารสมอง โดยคำนึงถึงการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน